เมื่อสองถึงสามปีที่แล้ว ผมเคยได้ใช้กิจกรรม “รู้จักฉันรู้จักเธอ” เป็นเวทีนำร่องของการสร้าง “ทีม”
ทุกวันนี้ ผมจึงบอกกับทีมงานอย่างสม่ำเสมอว่าเรามี “ทีมที่ดี”
ทีมที่ดีที่ว่านี้เป็นผลพวงของค่านิยมองค์กรที่ผมและทีมงานได้ร่วมชูธงและปักธงมาร่วมสองปีว่า “สอนงานสร้างทีม” ซึ่งหมายถึงการใช้กระบวนการของการจัดการความรู้มาเป็นกลไกในการขับเคลื่อน และยึดมั่นในแนวทางของการสอนงานแบบ “จริงจังและจริงใจ”
ล่าสุด (วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔) ผมและทีมงานอีก ๓ คนเดินทางไปจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า “อบรมภาวะผู้นำเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพสโมสรนักศึกษา” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งที่เป็นนักศึกษาและอาจารย์ประมาณ ๔๐ คน
ทั้งผมและทีมงานมีเวลาเตรียมการไม่มากนัก เพราะได้รับการติดต่อที่กระชั้นชิด แต่เราก็โชคดีมากที่เจ้าของโครงการได้ให้เสรีภาพในการ “ออกแบบกิจกรรม” ได้อย่างเต็มที่ เพราะทางมหาวิทยาลัย (ภาควิชามนุษยศาสตร์ฯ) ก็ไม่เคยจัดกิจกรรมอบรมในทำนองนี้มาก่อน จึงนับได้ว่ากิจกรรมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ภาควิชาฯ ได้จัดให้กับบรรดา “ผู้นำนักศึกษา”
ผมเสนอแนวคิดอย่างกว้างๆ ไปยังผู้ประสานงานในทำนองว่า “เน้นการเรียนรู้ร่วมกันเป็นสำคัญ กิจกรรมจะไม่เน้นบรรยายสายตรง หรือบรรยายแบบสื่อสารทางเดียว แต่จะใช้กระบวนยุทธแบบเปิดประเด็นชวนคิดชวนเจรจา ผสมผสานกับกิจกรรมปฏิบัติการ เพื่อให้นักศึกษาได้ทั้งความรู้ แรงบันดาลใจและกระบวนการในการจัดอบรมไปพร้อมๆ กัน และที่สำคัญคือการกระตุ้นให้เกิดการทบทวนภาวะภายในของผู้นำเป็นที่ตั้ง”
เป็นที่น่ายินดีว่ากรอบแนวคิดดังกล่าวได้รับไฟเขียวอย่างชื่นมื่น ซึ่งผมก็เริ่มจัดวางแกนนำในการที่จะไปจัดกระบวนการเรียนรู้ครั้งนี้อย่างง่ายๆ ด้วยการชวนให้ลูกทีมหารือกันเองว่า “ใครจะไปบ้าง” ...
ผมให้เสรีภาพในการสร้างทีมตรงนี้ค่อนข้างสูง เพราะรู้ดีว่าไม่ว่าจะใครไปบ้าง ทีมของผมก็มีดีพอที่จะสร้างสรรค์บรรยากาศของการเรียนรู้ได้อย่างไม่ยากเย็น อีกทั้งผมเองก็ซ่อนแนวคิดไว้เหมือนกันว่า “ทีมงานของผมมีวิธีการที่จะเลือกคนกันอย่างไรบ้าง ?”
และนั่นก็ยิ่งทำให้ผมเบิกบานใจเป็นที่สุด เพราะแกนนำที่ผมมอบหมายภารกิจนั้นสามารถ “เลือกคนได้สัมพันธ์กับงาน” เรียกได้ว่า “ลงตัว ไม่เทอะทะ สามารถทำงานได้หลายอย่าง และที่สำคัญคือ แต่ละคนเติมเต็มกันและกันได้อย่างไม่ต้องกังขา ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทั้งสามคนนั้นเป็นประเภทมองตาทะลุขั้วหัวใจของกันและกันเลยทีเดียว”
สมปอง มูลมณี : อดีตนักกิจกรรมจากกลุ่มไหลที่ปัจจุบันกลายมาเป็นบุคลากรในสังกัดเดียวกับผม รับหน้าที่พิธีกร กลุ่มสัมพันธ์ กิจกรรมประเมินความคาดหวังและสรุปผลการเรียนรู้ พร้อมทั้งบรรยายให้ความรู้ในเรื่องแนวคิดและทักษะการเขียนโครงการและการดำเนินกิจกรรมด้วยกระบวนการ PDCA
สุริยะ สอนสุระ : อดีตนักกิจกรรมสายดนตรีพื้นบ้านสังกัดวงแคน ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องสื่อและนวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงการรับผิดชอบเรื่องกระบวนการ Woke Shop เรื่อง บทบาทผู้นำกับการพัฒนากิจกรรมนักศึกษาและการพัฒนาสถานศึกษา ตลอดจนการบรรยายเรื่องการวิเคราะห์ตัวตนของนักศึกษาผ่านกิจกรรมแก้ว ๔ ใบและสัตว์ ๔ ทิศ
อติรุจ อัคมูล : อดีตผู้นำนักกิจกรรมที่ผันตัวมาเป็นบุคลากรขององค์กรรับผิดชอบระบบทรานสคริปกิจกรรมและงานออกแบบสร้างสรรค์สื่อ ซึ่งถือว่าเป็นกระบี่มือหนึ่งขององค์กร ได้รับมอบหมายให้บันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว รวมถึงภารกิจเบ็ดเตล็ดเพื่อเสริมแต่งกระบวนการให้ลื่นไหลและแน่นหนักมากขึ้น
ส่วนตัวกระผมนั้น ทำทุกอย่างในภาพรวมไปพร้อมๆ กับการบรรยายกึ่งปฏิบัติการในหัวข้อสำคัญๆ เช่น รู้จักฉันรู้จักเธอ : ทบทวนก้าวย่างบนเส้นทางกิจกรรม ,ภาวะผู้นำกับการบริหารจัดการสโมสรนักศึกษา
กิจกรรมดังกล่าวเปิดตัวอย่างเรียบง่าย ทุกอย่างเป็นไปตามแนวคิด “บันเทิงเริงปัญญา” คุณสมปองฯ เรียกเสียงฮา พานักศึกษาขยับแข้งขยับขาและขยับความคิดได้อย่างลงตัว พลอยให้แต่ละคนทะลายกำแพงภายในตัวเองลงได้อย่างรวดเร็ว เสร็จจากนั้นก็ผนึกกำลังกับคุณอติรุจฯ ในการจัดกิจกรรม “BAR ต้นไม้แห่งความคาดหวัง” ก่อนที่คุณสุริยะฯ จะรับหน้าที่ในการสรุปความคาดหวัง ซึ่งปรากฏเป็นประเด็นหลักๆ เรียงลำดับตามความต้องการจากมากไปหาน้อยได้ดังนี้
แน่นอนครับ ผมและทีมงานไม่ละเลยในประเด็นที่นักศึกษาสะท้อนออกมาเลยสักนิด และไม่ได้คิดว่าทำไปตามกระบวนการเปิดตัวเท่านั้น หากแต่ยึดและตระหนัก หรือแม้แต่เตือนตัวเองตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ต้องพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในเวทีครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด พร้อมๆ กับการสะกิดให้นักศึกษาได้รับรู้ว่าการหยั่งถามเช่นนี้ ก็ถือเป็นกระบวนการหนึ่งของ "การประกันคุณภาพการศึกษา" ด้วยเหมือนกัน หรือแม้แต่เป็นกระบวนการหนึ่งที่แต่ละคนต้องเรียนรู้ด้วยตนเองว่าทำอย่างไรตัวนักศึกษาเองจะบรรลุความคาดหวังของตัวเอง มิใช่ปล่อยให้เป็นภาระของ “ผมและทีมงาน” แต่เพียงฝ่ายเดียว
ถัดจากนั้นก็เป็นคิวที่ผมต้องออกโรงตามหัวข้อ “รู้จักฉันรู้จักเธอ : ทบทวนก้าวย่างบนเส้นทางชีวิต”
ครั้งนี้ผมให้นักศึกษาได้เขียนภาพเรื่องราวอันเป็น “ความสุขและความทุกข์” ที่เกิดขึ้นกับตัวนักศึกษา โดยเน้นให้โฟกัสไปยังเรื่องราวที่นักศึกษาสามารถ “ข้ามพ้น” มาได้ เพื่อชวนให้ขบคิดถึงปัจจัยที่ทำให้แต่ละคนสามารถเติบโตมาจากจุดๆ นั้น รวมถึงการชวนให้เชื่อมั่นอย่างแน่นหนักว่า ในโลกความเป็นจริงนั้น “ชีวิตย่อมมีสองมุม” เสมอ มีสุข มีทุกข์ มีหัวเราะ มีน้ำตา มีชนะ มีแพ้ ...และทั้งปวงนั้นก็ล้วนเป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตเติบโตมาสู่วันนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น ความสุขของชีวิต จึงคงไม่ได้หมายความในมุมเดียวว่าอยู่กับเรื่องราวอันเป็นความสุขเสมอไป หากแต่ในบางมุมก็คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเศร้าบ้าง เป็นการอยู่แบบเข้าใจ ไม่ใช่อยู่แบบจมจ่อม อยู่แบบเป็นทาสความเศร้าอย่างไม่รู้จบ แต่อยู่และเรียนรู้ที่จะเติบโตจากความเศร้าไปพร้อมๆ กัน
ในห้วงขณะที่นักศึกษากำลังมุ่งมั่นวาดภาพอยู่นั้น คุณสุริยะฯ ก็เปิดเสียงเพลงคลอไปเบาๆ ขณะที่ทีมงานอีกสองท่านก็พยายามเลียบเลาะเยี่ยมชม หรือแม้แต่สังเกตพฤติกรรมของนักศึกษาไปพร้อมๆ กันอย่างนิ่งเนียน จนในที่สุดผมก็ให้แต่ละคนจับคู่กัน เพื่อทำหน้าที่บอกเล่าเรื่องราวในภาพนั้นสู่กันฟัง ซึ่งมีใครบางคนถึงกลับ “หลั่งน้ำตาออกมาโดยอัตโนมัติ และใครอีกคน หรือแม้แต่อย่างน้อย สองถึงสามคนก็ปลอบประโลมกันอย่างอบอุ่น”
เหนือสิ่งอื่นใด ผมมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า กิจกรรมที่ผมจัดขึ้นนั้น ไม่ใช่แค่กระบวนการของการทบทวนตัวเอง ไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนรอบกาย หากแต่เป็นการช่วยให้ใครแต่ละคนได้ปลดเปลื้องสิ่งที่แบกรับมาอย่างยาวนานไปในตัว
ด้วยเหตุนี้จึงดูเหมือนการนำพาไปสู่การสร้างเวทีให้ใครสักคนได้มีพื้นที่ในการชำระล้างเรื่องบางเรื่องที่เป็นตะกอนและผลึกอยู่ในตัวเอง เสมือนการได้ช่วยให้ใครบางคนได้สารภาพเรื่องบางเรื่องทั้งกับตัวเองและคนข้างกาย เป็นการฝึกให้เรียนรู้กระบวนการของการ “ให้อภัยกับตัวเอง” ไปพร้อมๆ กับการเยียวยากันและกัน
แน่นอนครับ กระบวนการที่ว่านี้ จึงคล้ายกับการปลดล็อคตัวเองออกมาจากวังวนอันเจ็บปวด เพื่อยืนหยัดอย่างทระนงต่อวันนี้และวันพรุ่งนี้ของชีวิต
กิจกรรมที่ว่านี้ จะเห็นได้ชัดว่า ผมจงใจให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเวทีอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมาผมมักชวนให้ใครๆ ได้ทบทวนและสื่อสารเรื่องราวในมุมอันสวยงามล้วนๆ โดยไม่มีมุมชีวิตอันขุ่นมัวมาเจือปน เพราะไม่อยากให้มีการหยิบยกเอาเรื่องเศร้าๆ มาโลดเต้นในเวทีของการเรียนรู้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นเค้าลางไม่ดีของกิจกรรมที่จัดขึ้น
หากแต่ครั้งนี้ขอสารภาพโดยตรงเลยว่าเจตนาให้เป็นเช่นนี้จริงๆ เพราะต้องการ "ถอดบทเรียนชีวิต" ของนักศึกษา เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า “ชีวิตมีสองมุม เพราะบางที, สิ่งดีๆ ในวันนี้ก็ล้วนเกิดจากความโศกเศร้าของอดีต” ด้วยเหตุนี้จึงควรต้องทบทวนอย่างกล้าหาญกระมังว่า “เราข้ามพ้นมาได้อย่างไร...” (เพราะนั่นแหละคือคำตอบอันเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จของการดำรงชีวิตในวันนี้)
ผมโชคดีมากที่มีเวลาพอสมควรกับการจัดกิจกรรมในหัวข้อ “รู้จักฉันรู้จักเธอ” กระบวนการต่างๆ จะลื่นไหลไปแบบไม่บีบเร่ง ช่วยให้แต่ละคนมีเวลาพอที่จะหันกลับเข้าไปฟังเสียงจากข้างในตัวเองอย่างสงบงาม และมีเวลาจัดกระทำกับข้อมูลอย่างมีสติ เพื่อสื่อสารถึงเรื่องราวและสารัตถะไปยังเพื่อนๆ ...
ฟังดูเหมือนเล่นกับความรู้สึกของผู้คนมากไปหน่อย แต่ผมก็พยายามใช้กระบวนการอย่างเป็นศาสตร์และศิลป์ เพื่อให้นักศึกษาเห็นคุณค่าในการทบทวน หรือฟังเสียงหัวใจของตัวเอง และสะกิดให้แต่ละคนเรียนรู้ที่จะดูแลกันและกัน ทั้งในนามของ "เพื่อนร่วมทีม" และ "เพื่อนร่วมชะตากรรม" ในโลกใบนี้
อย่างไรก็ดี ในห้วงสุดท้ายของกิจกรรม ผมไม่ได้สรุปประเด็นแนวคิดกิจกรรมรู้จักฉันรู้จักเธอในมุมของการเรียนรู้ความเป็นทีมผ่านกิจกรรมนี้อย่างฉะฉานอย่างที่ควรจะเป็น เพราะต้องการให้แต่ละคนได้สรุปด้วยตัวเองเสียมากกว่า ด้วยหวังว่าวิธีการเช่นนั้น จะทำให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือแม้แต่คิดวิพากษ์ด้วยตัวเอง
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะสะท้อนแนวคิดของตัวเองอย่างสุภาพและเบาๆ ผ่านเลยไปสู่นักศึกษาในทำนองว่าให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการ “ฟังและพูดกับเพื่อน,รักและอาทรต่อเพื่อน,ทบทวนวันเวลาในอดีตอย่างมีสติ,มองโลกและชีวิตเชิงบวกที่มีทั้งขาวและดำ”
หรือแม้แต่การเทียบเปรยในทำนองว่า “กิจกรรมทำนองนี้จะเป็นทุนอันดีให้นักศึกษาได้เปิดใจเรียนรู้เพื่อนร่วมองค์กร หากวันหนึ่งวันใดทำงานร่วมกันไปแล้วรู้สึกขุ่นข้องกับพฤติกรรมของเพื่อน เรื่องราววันนี้ ก็น่าจะช่วยยึดโยงไปสู่การเยียวยากันและกันได้บ้างกระมัง...”
นี่คือกระบวนการเล็กๆ ที่ผมพยายามสื่อสารออกไปในเวทีของวันนั้น
และผมก็สุขใจเป็นอย่างมาก เมื่อรู้ว่านักศึกษายังไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมในทำนองนี้มาก่อนเลย...
อาจารย์เรียก..กระบวนการเล็กๆ แต่ concept ของอาจารย์ยิ่งใหญ่จริงๆ อืม... ถอดบทเรียนชีวิต ทำให้รู้จักตนเอง ได้เห็นตัวเองทั้งมุมสุขและมุมเศร้า โฟกัสให้เห็นว่าตัวเองข้ามพ้นมาได้อย่างไร จนมีชีวิตอย่างปัจจุบันนี้...มองให้เห็นว่าชีวิตย่อมมีทั้งสุขและเศร้า อย่าจมจ่อมอยู่กับความเศร้า...ใช้มันเป็นพลังในการก้าวต่อไป ...โชคดีจังที่ได้เข้ามาอ่านบทความดีๆ จากคนดีๆ ขอนคุณอาจารย์และ G2K ค่ะ
สวัสดีครับ พี่แก้ว
ขอบพระคุณที่แวะมาเสริมแรงใจนะครับ
ก่อนนั้น ผมเริ่มต้นกิจกรรมนี้ในลักษณะเน้นการ "เล่าเรื่อง" หรือ "สนทนา" กันเสียมากกว่า ถัดจากนั้นแปลงเป็น "จดหมายปริศนา" ให้แต่ละคนได้เขียนขึ้นและให้เพื่อนได้ทายว่าเป็นจดหมายของใคร เสร็จจากนั้นก็เปิดเวทีให้คุยกันในเรื่องจดหมายที่ว่านั้น เมื่อเวลาผ่านพ้นไปสักระยะ เห็นว่าบุคลากรในสังกัดมีทักษะในการเล่าเรื่องดีขึ้น ก็พัฒนารูปแบบเป็นการใช้ "ศิลปะการเขียนและการวาดรูป" เข้ามาช่วยขับเคลื่อน เป็นแนวคิดของการเขียนและวาดเพื่อบำบัดไปในตัว
กิจกรรมดังกล่าว ไม่เพียงปลดล็อคเรื่องบางเรื่องของใครบางคน หรือกระตุ้นให้ใครบางคนได้หยุดทบทวนจังหวะชีวิตตัวเองเท่านั้น แต่ผมยังเชื่อว่าเป็นการสอนความเป็นทีมแลความเป็นเพื่อนมนุษย์ไปในตัวได้เหมือนกัน มันคือกลไกของการแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต มันคือกลไกของการเยียวยาชีวิตกันและกันไปในที
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีค่ะ
ขอนำคำพูดนี้ไปใช้นะคะ
“ฟังและพูดกับเพื่อน,รักและอาทรต่อเพื่อน,ทบทวนวันเวลาในอดีตอย่างมีสติ,มองโลกและชีวิตเชิงบวกที่มีทั้งขาวและดำ”
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ อ.ลำดวน
นี่ก็เพิ่งกลับจากการเป็นวิทยากรบนเวทีเล็กๆ สดๆ ร้อนๆ ครับ น้องๆ นิสิตเชิญไปเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการประชุมเชียร์ให้สต๊าฟฟัง ...
กระบวนการทั้งแวงที่จัดขึ้นในเวทีการเรียนรู้นั้น ผมจะรู้สึกเองตลอดว่าผมเองก็เรียนรู้ความเป็น "ตัวเอง" ผ่านกิจกรรมเหล่านั้นไปด้วยเหมือนกัน ระยะหลัง ผมชอบทำกิจกรรมในทำนองที่มันตั้งคำถามกับตัวเองเสียมากกว่า คล้ายกับการชักชวนให้ตัวเองหันกลับมาพูดคุยกับตัวเองมากกว่าแต่ก่อน
ขอบพระคุณครับ
No Comment นะ คุณ แผ่นดิน ;)...
สบายดีบ่ ครับ
สวัสดีครับ อ.วัสฯ Wasawat Deemarn
ผมเดินทางไม่รู้จบครับ ใช้ชีวิตบนรถและท้องถนน นี่ก็กำลังเดินทางไปเป็นวิทยากรและให้กำลังใจน้องๆ แถวปักธงชัย
เป็นยังไงบ้างครับ...ชีวิตดูปลอดโล่งแล้วหรือยัง
ระลึกถึงไม่จืดจางนะครับ
ให้กำลังใจคนทำงานครับ ;)
สวัสดีครับคุณเอก..จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ขอบคุณที่แวะมาเสริมพลัง...ผมเองก็ส่งความปรารถนาดีกลับไปยังคุณเอกด้วยเช่นกัน นะครับ
*ขอร่วมชื่นชมกับกระบวนการสร้างพลังจากภายในตนเพื่อความเข้มแข็งสู่การจับมือกันเดินในการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ..
*ขอบคุณมากค่ะที่ไปเยี่ยมและให้ความสนใจกับโครงการจิตอาสาของชาว SCBชวนกันทำความดี..และคุณแผ่นดินอยากสนับสนุนคนหนุ่มสาวให้ได้ทำงานเพื่อสังคมด้วย ซึ่งตรงกับโครงการ "แบ่งปัน 1วันใน 1ปี" ของเราที่ได้เคยเล่าไว้แล้ว โปรดคลิ๊กที่นี่ค่ะ :
http://gotoknow.org/blog/nongnarts/437173
น้องๆเยาวชนสามารถเข้าไปเยี่ยมชมและสมัครป็นสมาชิกของโครงการได้ที่ :
แวะมาให้กำลังใจอาจารย์นะคะ ^_^
ภาพถ่ายโดนใจมากๆ ค่ะ
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
"1 วันของตัวเอง ออกไปทำเพื่อคนอื่น" ...เป็นถ้อยคำที่งดงาม และยิ่งใหญ่มากครับ ฟังแล้วเกิดพลังและแรงบันดาลใจอย่างมาก มันไม่ใช่แค่การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง หากแต่หมายถึงการพัฒนาสังคมไปอย่างน่าเคารพ สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาทัศนคติของผู้คนได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับพื้นที่ที่ให้เด็กๆ และเยาวชนได้เติบโตอย่างสร้างสรรค์นะครับ
สวัสดีครับ คุณแหม่มnoomam lek
ผมเงียบไปเพราะอยู่ระหว่างการสัญจรไปในที่ต่างๆ เหนื่อยจนไม่มีแรงนั่งเขียนบันทึกเลยทีเดียว..
ขอบคุณที่แวะมาเสริมแรงให้ชีวิตผม นะครับ...
สวัสดีครับ อ.ดร. จันทวรรณ ปิยะวัฒน์
ภาพเหล่านี้ น้องๆ ทีมงานเป็นผู้บันทึกให้ครับ
ไม่มีใครเรียนสายตรงในเรื่องถ่ายรูป ทั้งผมและน้องๆ เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงด้วยกันทั้งนั้น
ขอบคุณครับ
คนที่ให้อภัยตัวเองได้ ผมว่าน่านับถือจริงๆนะครับ ... แต่ถ้าเรื่องมันร้ายแรงมากๆ คนรอบข้างหรือแม้แต่ตัวเราเองจะทำใจยอมรับได้จริงๆหรือครับ พอดีว่าเคยรู้จักคนที่เขาเจอเหตุการณ์ร้ายๆมาน่ะครับ ... แม้เขาจะเปิดใจและกล้าที่จะเล่าแต่ผลที่ส่งถึงคนรอบข้างกลับกลายเป็นความด้านลบ ทำให้เสียเพื่อน เสียคนรอบข้างไปเยอะทีเดียว... จนผมเองกลับมาย้อนคิดว่า บางเรื่องนั้นไม่ให้รู้เลยอาจจะดีกว่า