ทำไม
?...พุทธต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย
ปัจจุบันนี้
มีชาวพุทธผู้ศรัทธาเริ่มเดินทางไปกราบนมัสการพุทธสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียและเนปาล
เพิ่มมากขึ้นทุกปี
จึงมีคำถามตามมาว่าทำไมต้องเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย
หากชาวพุทธมีศรัทธาต่อคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องไปไหว้พระถึงประเทศอินเดีย
เพราะสถานที่ไหว้หรือทำบุญก็มีอยู่ในประเทศไทยมากมาย
ทำไมต้องไปถึงประเทศอินเดียให้เสียเงินเสียทองเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ในฐานะพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย
ขอให้เหตุผลของการเดินทางไปไหว้พระแสวงบุญที่ประเทศอินเดีย
เพื่อจักให้ท่านผู้ศรัทธาได้พิจารณาดังนี้
๑.เพราะอินเดียเป็นแผ่นดินต้นกำเนิดพระพุทธศาสนา
หากเราจะเปรียบเทียบการบำรุงต้นไม้ก็ต้องรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย
ก็ต้องรดน้ำที่ต้นที่ราก ต้นไม้จึงจะเจริญงอกงาม การไปบำเพ็ญบุญ
สั่งสมบารมี
ถ้าจะให้มีพลังและบารมีจักเจริญงอกงามบริบูรณ์ได้อย่างเต็มที่
ก็ต้องไปยังแผ่นดินอินเดีย แดนชมพูทวีป
อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนานั่นเอง ผู้ศรัทธาที่มีสิทธิเลือก
มีโอกาส จึงเลือกที่จะไปไหว้พระแสวงบุญ ณ ที่กำเนิดพระพุทธศาสนา
หรือสถานที่จริงให้ได้สักครั้งในชีวิต
๒.พระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ในอดีตระหว่างบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้อาศัยการบำเพ็ญบารมีในแผ่นดินชมพูทวีปแห่งนี้
การเดินทางไปที่อินเดียจึงเท่ากับว่าเป็นการได้เดินตามรอยพระพุทธเจ้าตามรอยพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย
จะได้มีโอกาสสัมผัสถึงบรรยากาศการบำเพ็ญบารมีตามแบบอย่างพระบรมโพธิสัตว์ที่ท่าน
ด้วยตนเอง
๓.พระสงฆ์สาวกแสดงธรรมกถาให้ชาวพุทธ ได้ฟังพระเทศน์ก็ดี
ได้สวดมนต์ก็ดี ได้บรรยายก็ดี เรื่องพระพุทธศาสนา
เรื่องพระพุทธประวัติ
ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับแแผ่นดินอินเดียทั้งสิ้น
น่าเสียดายยิ่งนักหากผู้ที่บรรยายเรื่องพระพุทธประวัติ
เรื่องพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมบท
ยังไม่เคยพบไม่เคยได้เห็นแดนดินถิ่นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา
ได้เพียงแค่การสร้างภาพและจินตนาการ
ตามคัมภีร์และตำราที่ศึกษาเรียนรู้มาเท่านั้น
ซึ่งความเป็นจริงแล้วต่างกันโดยสิ้นเชิง
การไปไหว้พระที่ประเทศอินเดียได้ประสบการณ์ ๔
อย่างดังนี้
๑.มาถึงที่ คือได้เห็นกับตาตนเอง
เป็นพุทธสถานที่จริงๆ เช่นต้นพระศรีมหาโพธิ์
เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้จริงๆ พระแท่นวัชรอาสน์
คือที่พระพุทธองค์ประทับนั่งบำเพ็ญธรรม
จนได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เป็นต้นในขณะเดียวกัน
ในเมืองไทยแม้จะมีพุทธสถานก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่สร้างและจำลองขึ้นมาทั้งสิ้น
๒.มาถึงหู คือได้มาฟังเรื่องราวต่างๆ
ที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ณ สถานที่นั้นๆ
ดุจได้ย้อนเวลากลับไปในห้วงเวลาแห่งอดีตครั้งพุทธสมัย
ทบทวนความรู้ จากที่ได้เคยได้ยินได้สดับตรับฟังมา ณ
สถานที่จริงๆ
เหมือนราวกับว่าเราได้ย้อนกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริงด้วยตนเอง
๓.มาถึงตาได้มากราบมาไหว้สัมผัสเห็นด้วยตนเอง
ซึ่งเหมือนกับดูจากภาพ ผ่านสื่ออื่นๆ ซึ่งสามารถสัมผัส เข้าถึง
มองเห็นรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ด้วยความลึกซึ้งจริง ๆ
๔.มาถึงใจ ได้สัมผัสความรู้สึกที่เกิดจากภายในจิตของตนเอง
ความรู้สึกภายในที่มิอาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด ด้วยประโยคใด ๆ
ได้ บางท่านเกิดความเอิบอิ่มใจ เกิดปีติ
น้ำตาไหลโดยไม่ทราบสาเหตุ
ความรู้สึกเหล่านี้เป็นความรู้สึกอันเกิดจากภายใน
ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้มาสัมผัสด้วยใจตนเอง ณ
สถานที่จริงๆ เช่นนี้ เท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดนั้น ให้พิจารณาในเนื้อหาสาระในมหาปรินิพพานสูตร
อันเป็นพระสูตรที่กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า
“ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถาน ๔ สถาน
คือสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา
และเสด็จดับขันธปรินิพพาน เหล่านี้แล้ว หากมีจิตเลื่อมใส
ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่กายเพราะกายแตก
จักเข้าถึงสุคติคือโลกสวรรค์”
นี้เป็นพระพุทธดำรัสตรัสสั่งถึงพุทธสถานให้พุทธศาสนิกชนผู้ระลึกถึงพระองค์ในภายหลังการเสด็จปรินิพพาน
ได้เดินทางมากราบสักการะพุทธสถานเหล่านี้
หากมาด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาแล้ว ย่อมมีสุคติ คือ
โลกสวรรค์เป็นโลกเบื้องหน้า
เท่ากับว่าท่านที่เดินทางมาไหว้พระที่อินเดีย
ได้สร้างหลักประกันให้กับตนคือ
การประกันด้วยโลกสวรรค์เป็นภพเบื้องหน้าไว้ในจิตใจตนเองนั่นเอง
ดังนั้นผู้ที่มีโอกาส มีเวลาจึงไม่ควรรีรอที่จะไปไหว้พระ แสวงบุญ ณ
ประเทศอินเดีย เหตุที่นำพาไปในดินแดนพุทธภูมิ
๑.มีศรัทธา ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
สั่งสมบุญสร้างบารมี มีศรัทธามั่นคงต่อพระรัตนตรัย อย่างต่อเนื่อง
จนระดับจิต ระดับศรัทธาหนุนนำให้อยากไปไหว้พระ ถึงที่อินเดีย
๒. มีทรัพย์ เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
สำหรับการเดินทางพอสมควร
๓.มีเวลา คือสามารถจัดระเบียบชีวิตให้กับตนเอง
จัดสรรเวลา วางธุรกิจเรื่องชีวิตงานหน้าที่แบ่งให้ศาสนกิจด้านจิตใจ
เพื่อได้ไปไหว้พระที่อินเดีย
๔. มีสุขภาพดี คือความพร้อมทางด้านร่างกาย
ที่แข็งแรงสมบูรณ์ดี ไม่มีโรคาพาธ
๕. มีผู้นำ ที่ให้คำแนะนำ
และจัดโปรแกรมการเดินทาง
เป็นภาระในการเดินทางเพื่อการเดินทางจักสะดวกไร้ป้ญหาและอุปสรรคใด
ๆ
ความภาคภูมิใจในฐานะพุทธศาสนิกชนชาวไทย
๑.
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม
ที่ยังพร้อมด้วยหลักธรรม หลักวินัย หลักปฏิบัติ
ยังธำรงคงไว้ซึ่งแก่นแท้ของความเป็นพุทธตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันกาลได้
๒. เพราะเรามีบุญ เคยสร้างกุศล
บำเพ็ญบารมีกับพระพุทธศาสนามาตั้งแต่อดีตชาติอันเป็นบุพเพกตปุญญตา
มาในชาตินี้บุญกุศลจึงส่งหนุนนำให้มาเกิดเป็นมนุษย์
พบพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรือง ณ เมืองไทย
พร้อมมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา
และมีโอกาสได้เดินทางไปถึงต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา คือที่อินเดีย
เท่ากับว่าได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของตนเอง
หากว่าชาตินี้ไปเกิดแผ่นดินที่อื่นๆ
หรือแม้แต่ที่ประเทศอินเดียที่อดีตพระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรือง
ปัจจุบันก็แทบจะไม่มีพระพุทธศาสนาให้รู้จัก ให้ศรัธาได้เลย
๓. ไทยเรามีความสงบร่มเย็น เป็นสุขได้
ก็เพราะภายใต้พระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ ทรงเป็นพุทธมามกะ
เป็นร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนา
ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองที่บ้านพุทธเมืองไทย
มาตราบจนปัจจุบันนี้
๔. ขอให้ชาวพุทธไทย จงภูมิใจว่า
โลกปัจจุบันท่ามกลางการก่อการร้ายและภัยสงคราม
ความโหดร้ายภัยพิบัติจากธรรมชาติ โลกของเรากลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่และไม่ปลอดภัยต่อการดำรงชีวิต
พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นดุจแสงทองแห่งความหวังของมวลมนุษย์และตลอดถึงชาวโลกทั้งหมดได้ประจักษ์ว่า
พระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาเป็นหลักนำสันติภาพมาแก่มนุษย์โลกได้อย่างแท้จริง
โลกตะวันตกกำลังหันมาให้ความสนใจ
ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติตนตามหลักคำสอนพระพุทธศาสนาที่พวกเรารักษาไว้ให้จนถึงปัจจุบัน
และองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก
(The World's importance Day)
เพื่อน้อมรำลึกนึกถึงองค์ศาสดาของชาวพุทธ
และจักเป็นโอกาสแห่งการน้อมนำพระธรรมคำสอนมาร่วมใจกันปฏิบัติกันทั่วโลก
เพื่อความสงบร่มเย็น
ดับความทุกข์เข็ญและความเดือดร้อนของชาวโลกสืบไป
บทความโดย: ดร.พระมหาคมสรณ์ คุตฺตธมฺโม
(ท่านคมสรัญญ์)
พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย
ข้อเขียนปรับปรุงเมื่อ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔
Tel:+919935030696
นมัสการครับ
ผมชอบบันทึกนี้
และหวังว่า คงได้ไปอินเดียในอนาตคครับ
ส่งพรจากแดนพระพุทธองค์คุณโยมทิมดาบ. ขอให้ความปรารถนาจงสำเร็จโดยเร็ว หากประสงค์ทราบรายละเอียดการเดินทางหรือเรื่ิองมาไหว้พระที่อินเดียก็ยินดีอำนวยความสะดวกให้
ท่านคมสรณ์ อินเดีย
เจริญพร ท่านอ.ดร.สุชาติ หงษา มหาราชจี
ยินดีต้อนรับสู่อินเดีย อย่าลืมจัดโปรแกรมมานครสาวัตถีด้วยนะ..ถ้าหากต้องการให้ประสานเรื่องการเดินทางก็ส่งข่าวแจ้งมาได้
อาตมาจะกลับไทยประมาณต้นเดือน มิถุนายนนี้ จะส่งข่าวไป ถ้าเบอร์โทรศัพท์เปลี่ยนแจ้งมาด้วย
ท่านคมสรัญญ์
ขออนุโมทา ท่าน ดร.ธวัชัย.คุณบีเวอร์ และท่านอัครราชทูต พลเดช ที่กรุณาแวะมาให้กำลังใจ
ท่านคมสรณ์
นมัสการครับท่าน
คำตอบอีกข้อหนึ่งครับว่าทำไมชาวพุทธควรไปแสวงบุญที่อินเดีย ก็คือวัดใจครับ วัดใจว่าจะกล้าพอไหมที่จะไปอินเดีย (ที่ไม่น่าไปเลย) ถ้ากล้าพอ ใจเด็ดเดี่ยวพอ ก็จะไปวัดบุญกันด้วยที่อินเดีย
สำหรับผมอินเดียเป็นทั้งห้องเรียนและสนามสอบที่เข้มข้นมากครับ ถ้าผ่านอินเดียไปได้ ก็ได้หน่วยกิตกันละครับ
นมัสการครับ
ตอนนี้มีจิตตั้งมั่นว่าจะต้องไปแสวงบุญตามรอยพระพุทธเจ้าให้ได้ค่ะ เวลาได้เห็นภาพถ่ายสถานที่ต่างๆ หรือได้อ่านเรื่องราวก็รู้สึกอิ่มเอิบและปีติมากค่ะ ซักครั้งในชีวิตจะต้องไปให้ได้ค่ะ
ขอกราบนมัสการท่านคมสรณ์ค่ะ
ดิฉันไป 4 สังเวชนียสถาน ครั้งที่ 3 เมื่อต้นปีนี้ 2560 ชอบมากค่ะ เป็นประเทศเดียวที่ไปแล้ว อยากไปอีก เหมือนกับว่าเป็นประะทศของเราเอง และตั้งใจว่าจะไปทุกปี สถานที่ที่ดิฉันปลื้มที่สุด คือเมืองกุสินาราที่พระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพาน ดิฉันน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นพระพุทธรูปในสถูป ครั้งล่าสุดว่าจะไม่มองพระพุทธรูป กลัวน้ำตาจะไหลเหมือนทุกครั้ง แต่ขณะเดินเวียนรอบพระสถูปตรงประตูทางเข้า สายตาก็เหลือบไปเห็นพระพุทธรูป คราวนี้น้ำตาไหลเลยค่ะ เพราะซาบซึ้งที่แม้กระทั่งวาระสุดท้ายก่อนนิพพานท่านยังสอนสุภัททปริพาชก ท่านคือต้นแบบของครูที่มีแต่ให้จริงๆค่ะ ในชีวิตจริงดิฉันก็เป็นครูแต่เกษียณราชการแล้ว จึงได้ดำเนินตามรอยพระพุทธองค์ ได้มีโอกาสสอนสามเณรที่มาจากบังคลาเทศ ให้ได้รู้ภาษาไทย รวม 19 รูป เพื่อเขาเหล่านั้นจะได้ศึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และกลับไปบังคลาเทศทำนุบำรุงศาสนาพุทธให้เข้มแข็งต่อไป
หากมีอะไรที่พระคุณเจ้าจะชี้แนะก็จะเป็นพระคุณค่ะ
สาธุค่ะท่าน และสาธุกับท่านที่มีโอกาสได้ไปแสวงบุญ สักการะสังเวชนียสถานทั้งสี่มาแล้ว หากท่านใดยังไม่เคยไปเรียนเชิญร่วมเส้นทางบุญ จาริกแสวงบุญ สี่สังเวชนียสถาน อินเดีย เนปาล กันนะคะ
27พย.-5ธค. 2560 นี้ค่ะ ดูกำหนดการกิจกรรมได้ที่ https://www.facebook.com/imboontour
สาธุค่ะ